陽光腐女推薦站

วิธีลดความเครียดผู้ดูแล
ปีเตอร์สเป็นผู้ดูแลมาเกือบ 20 ปีแล้ว ก่อนที่สามีของเธอจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคพาร์คินสันในช่วงอายุ 30 เขาและปีเตอร์สก็ดูแลแม่ของเขาซึ่งมีสภาพเหมือนกัน เธอกล่าวว่าสิ่งต่อไปนี้จะช่วยเธอเมื่อเธอถูกครอบงำ

1. ใช้เวลาหนึ่งวันในแต่ละครั้ง
แทนที่จะมองไปข้างหน้าและคาดการณ์ถึงสิ่งที่อาจเป็นโรคปีเตอร์สพูดว่าให้ความสนใจกับสิ่งที่คุณต้องทำในวันนี้

“ บางครั้งการมองดูภาพรวมทั้งหมดอาจทำให้รู้สึกท่วมท้น” เธอกล่าว “ กินทีละวัน”

2. หาเวลาให้ตัวเอง
นอกจากการกินเพื่อสุขภาพและการออกกำลังกาย Peters แนะนำให้ทำเวลาทำสิ่งที่คุณชอบ

“ การอ่านช่วยให้ฉันหลงทางในเรื่องของคนอื่นมาระยะหนึ่งแล้ว” ปีเตอร์สกล่าว

3. เรียนรู้เทคนิคการจัดการความเครียด

การตรวจสอบครั้งใหญ่ที่สุดในโลกได้สร้างความสำคัญให้กับพื้นที่สีเขียวในเมืองเพื่อป้องกันการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

คน 63% ในสหรัฐอเมริกาอาศัยอยู่ในเมือง

บางเมืองมีสีเขียวกว่าเมืองอื่น - เช่นเมืองฟิลาเดลเฟียมีประวัติศาสตร์ยาวนานของการเป็นเมืองสีเขียวและยังมองหาพื้นที่สีเขียวถึง 20% - และเมืองทางตอนเหนือมักมีพื้นที่สีเขียวน้อยกว่าภาคใต้

ขณะนี้องค์การอนามัยโลก (WHO) กำลังมองหาเพื่อเน้นความสำคัญของพื้นที่สีเขียวในความเป็นอยู่และสุขภาพของประชาชน

พื้นที่สีเขียวของเมืองเช่นสวนสาธารณะสนามกีฬาป่าทะเลสาบและสวนทำให้ผู้คนมีพื้นที่สำหรับการออกกำลังกายการผ่อนคลายความสงบและการหลบหนีจากความร้อน การศึกษาหลายแหล่งที่เชื่อถือได้แสดงให้เห็นว่าช่องว่างเหล่านี้ลดความเครียดและเพิ่มสุขภาพจิตและร่างกาย

พื้นที่สีเขียวนั้นเกี่ยวข้องกับคุณภาพอากาศที่ดีขึ้นเสียงจากการจราจรลดลงอุณหภูมิเย็นลงและความหลากหลายที่มากขึ้น

นอกจากนี้ประมาณการล่าสุดระบุว่าแหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือราว 3.3% Topplayของจำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกลดลงเนื่องจากขาดการออกกำลังกายซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเดินที่ไม่ดีและการเข้าถึงพื้นที่นันทนาการ จำกัด

อย่างไรก็ตามการศึกษาจำนวนมากเหล่านี้ได้ดูเฉพาะจุดเวลาและมีความหลากหลายในวิธีที่พวกเขาวัดการใช้พื้นที่สีเขียวของผู้คน

ตอนนี้การทบทวนที่ครอบคลุมมากที่สุดจนถึงปัจจุบันได้วิเคราะห์การศึกษาตามยาวเก้าเรื่องซึ่งครอบคลุมเจ็ดประเทศ 8 ล้านคนและการติดตามหลายปี

การพูดคุยอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับวิธีที่ผู้หญิงทำงานและวิธีที่ผู้หญิงเป็นผู้นำทำให้เป็นไปไม่ได้ที่ผู้หญิงจะเป็นผู้นำในแบบที่เป็นของแท้ แทนที่จะคิดทบทวนความเป็นผู้นำเรากำลังขอให้ผู้หญิงวาดภาพตัวเองใหม่ นั่นคือการปล้นเราทุกคนในโอกาสที่จะสร้างแบบจำลองของความเป็นผู้นำที่กว้างขวางมากขึ้นรวมถึงเรามากขึ้นและให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า

นี่คือข่าวดี: คุณไม่ได้อยู่คนเดียว! หากรู้สึกว่ายากที่จะสำรวจคำถามเหล่านี้หมายความว่าเป็นผู้หญิงเป็นผู้นำและเป็นที่ชื่นชอบในฐานะคุณนั่นเป็นเพราะมันเป็น! (และถ้าคุณรู้สึกว่าฉันกำลังใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์จำนวนมากเพื่อไม่ให้คุณตกอยู่ในความกลัวนั่นเป็นเพราะฉัน !!!!) การยอมรับว่าความสมดุลที่แท้จริงความน่ารักและการแสวงหาความเป็นผู้นำอาจจะเข้าใจยากถ้า ไม่เป็นไปไม่ได้ในขณะที่น่าผิดหวังในตอนแรกสามารถปลดปล่อย คุณอาจไม่ทำผิด มีการตั้งค่าระบบเพื่อให้เป็นไปไม่ได้ที่จะทำถูกต้อง

นี่เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะเราอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้ง การเคลื่อนไหว #MeToo ทำให้เกิดการคำนวณทางวัฒนธรรมอย่างกว้างขวาง เราไม่เพียง แต่ตั้งคำถามกับผู้มีอำนาจเท่านั้น เรากำลังตั้งคำถามกับระบบพลังงานที่ส่งเสริมสภาพแวดล้อมของการคุกคามและการใช้ในทางที่ผิด

แต่แม้เมื่อลมแห่งการเปลี่ยนแปลงหยิกที่คอของเราและพื้นดินที่อยู่ใต้เราจะเปลี่ยนวิธีการแสดงตนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่ทำงานจริง ๆ แล้วอาจดูสับสนมากขึ้น พวกเราเล่นตามกฎเดิมหรือกฎใหม่หรือไม่? กฎเก่าไม่ได้ใช้กับเราทุกคน ทำกฎใหม่ ใครเป็นผู้เขียนกฎใหม่และเราจะได้ที่นั่งในตารางร่างได้อย่างไร การพูดออกมาทำให้ผู้หญิงหลายคนปรองดอง แต่สำหรับหลาย ๆ คนมันก็มาด้วยราคา บ่อยครั้งที่การบรรยายสาธารณะแตกต่างจากสิ่งที่กระซิบหลังประตูปิด ผู้หญิงที่พูดออกมาต่อต้านความอยุติธรรมสามารถมองได้ว่าเป็นทั้งฮีโร่ในโลกและปัญหาในอุตสาหกรรมของเธอ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจริง ๆ ได้อย่างไร? พวกเราหลายคนเดินเข้าไปในสถานที่ทำงานทุกวันซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะรู้ว่าคนที่มีระดับสูงขึ้นกำลังยุ่งอยู่กับการเขียนนโยบายการล่วงละเมิดทางเพศขององค์กรเพื่อปกปิดตูดของพวกเขาหรือหากพวกเขากำลังดิ้นรนกับสมมติฐานพื้นฐานว่า อำนาจ

เมื่อพูดถึงผู้หญิงและที่ทำงานมีปัญหาที่อาจรู้สึกเร่งด่วนมากกว่าความน่ารักรวมถึงช่องว่างค่าจ้างทางเพศ (เรื่องหนึ่งที่น่าทึ่งสำหรับผู้หญิงที่มีสี) และวัฒนธรรมของการล่วงละเมิดทางเพศที่ # METoo เปิดเผยในทุกอุตสาหกรรม ตั้งแต่ความบันเทิงและการเมืองไปจนถึงงานฟาร์มและบริการในประเทศ แม้ว่าผู้หญิงจะยังคงมีระดับการศึกษาและวิชาชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เราก็ยังเตือนใจอยู่เสมอว่ายังมีช่องว่างของพลังอันยิ่งใหญ่ที่รอให้เติม

ช่องว่างนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในระดับความเป็นผู้นำ ผู้หญิงมีประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกาเล็กน้อย แต่เราคิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่าร้อยละ 25 ของรัฐสภาสหรัฐฯและมีที่นั่งน้อยกว่า 23 เปอร์เซ็นต์ในคณะกรรมการ บริษัท สำหรับ บริษัท ที่ติดอันดับ Fortune 500 ในบรรดาผู้กำกับภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุด 100 เรื่องในปี 2560 Topplayonlineมีผู้หญิงน้อยกว่าผู้ชายที่ชื่อเจมส์และไมเคิล สำหรับผู้หญิงที่มีสีช่องว่างนั้นกว้างกว่า ผู้หญิงที่เป็นชนกลุ่มน้อยคิดเป็นประมาณร้อยละ 18 ของประชากรในสหรัฐอเมริกาทั้งหมด แต่น้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของ บริษัท ที่ติดอันดับ Fortune500 มีผู้หญิงเหล่านั้นอยู่ที่หางเสือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาคองเกรสที่ 116 มีจำนวนผู้หญิงที่มีสีผิวสูงเป็นประวัติการณ์ แต่ที่ร้อยละ 11 ยังคงเป็นสัดส่วนที่ไม่เพียงพอ

การวิจัยยืนยันว่าอุปสรรคสำคัญต่อการเป็นผู้นำของผู้หญิงคือแบบแผนและอคติ สิ่งที่รู้สึกอสัณฐานมากที่สุดและถูกต้องน้อยที่สุดก็เป็นอันตรายที่สุด ในบรรดาผู้หญิงที่มีอคติ: การผูกมัดสองครั้งระหว่างความน่ารักและความสำเร็จและความขัดแย้งเรียกร้องให้มีการแก้ไขการแสดงเพศและความถูกต้องในผู้นำหญิง

การแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องระหว่างความสามารถและความชอบมีผลที่แท้จริง การรับรู้เหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อการจ้างงานการเจรจาต่อรองและความก้าวหน้าในอาชีพ ผู้หญิงบางคนที่อยู่ใกล้จุดสูงสุดอาจใช้เวลาบนหน้าผาแก้วที่น่ากลัวโดยสันนิษฐานว่าสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงและผลตอบแทนสูงเป็นภาพเดียวของพวกเขาที่จะเคลียร์อุปสรรคกีดขวาง และผู้หญิงจำนวนมากรู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถชนะในอุตสาหกรรมชายที่โดดเด่นเลือกที่จะออกและประกอบอาชีพในอุตสาหกรรมที่มีความหลากหลายทางเพศหรือผู้หญิงส่วนใหญ่ นั่นอาจเป็นสิ่งที่จำเป็นและคุ้มค่าสำหรับแต่ละคน แต่ถ้าผู้หญิงเลือกที่จะไม่เล่นเกมเพราะเกมนี้มีการ จำกัด เราจะยอมรับขอบเขตของคณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีธุรกิจการเมืองและอื่น ๆ อีกมากมายหรือไม่? และนอกเหนือจากผลที่ตามมาจากการทำงาน ในการพยายามเป็นทุกอย่างในครั้งเดียวผู้หญิงหมดแรง

ปรากฎว่าการอดนอนนั้นแย่ยิ่งกว่าที่เราคิด ในหนึ่งในการศึกษาการนอนหลับที่ใหญ่ที่สุดที่เคยทำมาห้องปฏิบัติการการนอนหลับและการเรียนรู้ของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐมิชิแกนพบว่าการวิจัยการนอนหลับก่อนหน้านี้มีการประเมินผลกระทบที่เป็นอันตรายอย่างมากจากการกีดกันการนอนหลับ

งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสารจิตวิทยาการทดลองและไม่ได้เป็นเพียงการศึกษาการนอนหลับที่ใหญ่ที่สุดจนถึงปัจจุบัน แต่เป็นคนแรกที่ประเมินว่าการกีดกันการนอนหลับนั้นส่งผลกระทบอย่างไรต่อ“ การจัดตำแหน่ง” เช่นเดียวกับความสามารถในการบรรลุเป้าหมาย ของขั้นตอนโดยไม่คำนึงถึงการหยุดชะงัก

“ การกีดกันการนอนหลับเพิ่มอัตราต่อรองในการทำข้อผิดพลาดในการดูแลรักษาและเพิ่มจำนวนของความสนใจที่ทวีคูณขึ้นเป็นสามเท่า” Kimberly Fenn, Ph.D, ผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการการนอนหลับและการเรียนรู้ของ M.S.UU กล่าว “ บุคคลที่ถูกกีดกันจากการนอนหลับต้องใช้ความระมัดระวังในทุกสิ่งที่พวกเขาทำและไม่สามารถเชื่อได้ว่าพวกเขาจะไม่ทำผิดพลาดที่มีราคาแพง บ่อยครั้ง - เช่นเมื่ออยู่หลังพวงมาลัยรถ - ข้อผิดพลาดเหล่านี้อาจส่งผลที่น่าเศร้า”

Fenn พร้อมด้วยผู้เขียนร่วม Michelle Stepan ผู้สมัครระดับปริญญาเอกที่ MSU และ Erik Altmann, Ph.D, ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาหวังว่าการค้นพบของพวกเขาจะบังคับให้ผู้คนตระหนักถึงการกีดกันการนอนหลับที่ยับยั้งความสามารถของพวกเขาอย่างแท้จริง นอนหลับอย่างจริงจังมากขึ้น

“ การค้นพบของเราหักล้างทฤษฎีทั่วไปที่แสดงให้เห็นว่าการให้ความสนใจเป็นหน้าที่ของความรู้ความเข้าใจเพียงอย่างเดียวที่ได้รับผลกระทบจากการอดนอน” สเตฟานอธิบาย “ คนที่ถูกกีดกันการนอนหลับบางคนอาจสามารถเก็บมันไว้ด้วยกันภายใต้งานประจำเช่นแพทย์ที่รับการรักษาจากคนไข้ แต่ผลลัพธ์ของเราแนะนำว่าการทำกิจกรรมที่ต้องทำตามหลายขั้นตอนเช่นแพทย์ที่เสร็จสิ้นกระบวนการทางการแพทย์นั้นมีความเสี่ยงมากภายใต้เงื่อนไขของการอดนอน”

มีผู้เข้าร่วมประชุมจำนวน 138 คนเข้าร่วมในการประเมินการนอนหลับ 77 คนตื่นตัวและกลับบ้าน 61 คนเพื่อนอนหลับ ผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมด 138 คนได้รับการร้องขอให้ทำงานสองอย่างในเย็นวันนั้น - หนึ่งการประเมินเวลาตอบสนองต่อสิ่งเร้าอีกคนหนึ่งประเมินความสามารถในการรักษาสถานที่ของพวกเขาในลำดับขั้นตอนโดยไม่รวมหรือทำซ้ำใด ๆ ประเมินว่าการอดนอนส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของผู้เข้าร่วม

“ หลังจากถูกขัดจังหวะมีอัตราความผิดพลาด 15% ในตอนเย็นและเราเห็นว่าอัตราความผิดพลาดพุ่งขึ้นไปประมาณ 30% สำหรับกลุ่มผู้อดนอนในเช้าวันรุ่งขึ้น” สเตฟานอธิบาย “ คะแนนในตอนเช้าของผู้เข้าร่วมที่ได้พักผ่อนนั้นคล้ายกับเมื่อคืนก่อน”

โดยพื้นฐาน: การศึกษาพบว่าในขณะที่อาจมีงานบางอย่างที่ผู้คนสามารถทำได้ในขณะที่เหนื่อยล้าและ“ ขับอัตโนมัติ” การอดนอนไม่ต้องสงสัย” ทำให้เกิดการขาดดุลอย่างกว้างขวางในทุกแง่มุมของชีวิต” ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสามารถทางปัญญา

เห็นได้ชัดว่าการนอนหลับให้เพียงพอนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทุกด้านของความเป็นอยู่ที่ดีรวมถึงประสิทธิภาพของคุณ ดังนั้นหากคุณรู้สึกว่าคุณอาจถูกอดนอนนี่คือ Microsteps ที่ยั่งยืนคุณสามารถลองปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับของคุณ

เคล็ดลับสำหรับการจัดการกับ IBS ในขณะที่อาหาร FODMAP ต่ำ

1. ใช้แอปที่มีความเร็วต่ำ
อาหาร FODMAP ต่ำมีความซับซ้อนและแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะจำอาหารทุกอย่างที่คุณทำได้และไม่สามารถกินได้โดยเฉพาะเมื่อเริ่มแรก แอปเช่น Monash FODMAP (จากมหาวิทยาลัยที่มาพร้อมกับแผนการกิน) ทำให้ง่ายขึ้นเพราะคุณสามารถค้นหาอาหารเพื่อดูว่ามัน "ปลอดภัย" หรือไม่ เป็นโบนัสมันยังมีมากกว่า 80 สูตร ทำให้การจับจ่ายซื้อของและการออกไปรับประทานอาหารง่ายขึ้นมาก "แอปนี้เป็นทั้งหลักฐานและงานวิจัย" แจ็คสันกล่าวว่าทำไมแอพนี้จึงได้รับตรารับรอง

2. โยคะ
ในขณะที่แจ็คสันกล่าวว่าแอปโยคะเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ IBS ยังไม่ได้รับการศึกษาการฝึกฝนโยคะนั้นเชื่อมโยงกับการปรับปรุงอาการ IBS ในขณะที่มีงานวิจัยที่ต้องทำเพิ่มเติมการศึกษาเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่าผู้ที่มี IBS ที่ทำโยคะเป็นประจำจะมีอาการและความวิตกกังวลลดลง “HUC99 การทำโยคะสองครั้งต่อสัปดาห์เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งในแต่ละครั้งนั้นแสดงให้เห็นว่ามีผลเช่นเดียวกับการลดความอ้วนแบบ FODMAP” แจ็คสันกล่าว

3. การทำสมาธิ
ในทำนองเดียวกันแจ็คสันกล่าวว่าการฝึกสมาธิสามารถช่วยบรรเทาอาการ IBS ได้เช่นกัน ในขณะที่เช่นเดียวกับโยคะต้องมีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์มากขึ้นการศึกษาเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่าผู้ที่มี IBS ที่เริ่มนั่งสมาธิเป็นประจำจะมีอาการท้องอืดปวดท้องก๊าซและท้องเสีย เหตุผลหนึ่งที่อาจเป็นสาเหตุก็เพราะความสงบของจิตใจสามารถทำให้ลำไส้สงบลงได้ถ้าอาการ IBS ผูกติดอยู่กับความรู้สึกวิตกกังวล

หากคุณยังอยู่ในช่วงวัยรุ่นนอนหลับในเวลาห้านาทีและนอนหลับเหมือนก้อนหินจนถึงเวลา 23.00 น. อาจเป็นความทรงจำที่ห่างไกล แต่ถ้าคุณสังเกตเห็นว่ามันยากขึ้นที่จะได้พักผ่อนแปดชั่วโมงแข็งกว่าเมื่อสองสามปีที่แล้วมันไม่ใช่จินตนาการของคุณ

การชราภาพมีผลต่อปริมาณและคุณภาพการนอนหลับ - นอนหลับยากขึ้นนอนหลับพักผ่อนและในที่สุดจะนอนหลับอย่างเต็มที่เมื่อเราแก่ตัว สิ่งที่ดูเหมือนจะไม่เปลี่ยนแปลงก็คือคุณต้องนอนหลับมากแค่ไหน ความต้องการการนอนหลับไม่เปลี่ยนแปลงในชีวิตจริงในภายหลัง! แม้ว่าจำนวนผู้ใหญ่ที่ต้องการนอนหลับจะแตกต่างกันไปตามปกติ แต่โดยทั่วไปแล้วคุณไม่ต้องการการนอนหลับน้อยลงเมื่อเรามีอายุมากขึ้น

ถึงกระนั้นการนอนหลับฝันดีก็อาจจะยากขึ้นเมื่อคุณอายุมากขึ้น ตัวอย่างเช่นบางคนมีปัญหาในการล้มหรือหลับ - และการตื่นนอนหลายครั้งต่อคืนอาจเป็นปัญหาเมื่อคุณอายุมากขึ้น

ทั้งชีววิทยาและแรงกดดันของชีวิตซึ่งอาจสะสมอยู่ตามกาลเวลาทำให้การนอนหลับแย่ลง เมื่อเรามีอายุมากขึ้นการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเราทำให้การนอนหลับพักผ่อนเป็นสุขยากขึ้นและปัจจัยต่าง ๆ เช่นเงื่อนไขทางการแพทย์และความกังวลด้านการเงินและครอบครัวอาจทำให้ปัญหาการนอนหลับของเราแย่ลง

จากผลการสำรวจของ National Sleep Foundation พบว่าร้อยละ 44 ของผู้สูงอายุมีอาการนอนไม่หลับอย่างน้อยสองสามครั้งต่อสัปดาห์หรือมากกว่านั้นซึ่งรวมถึงการไม่สามารถนอนหลับได้ เหตุผลหนึ่งที่คุณอาจจะพลิกและเปลี่ยนคืออารมณ์และความเครียดที่อาจเกิดขึ้นจากแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนแปลงชีวิตที่เกิดขึ้นกับอายุ

เมื่อเราอายุน้อยกว่าเรามีความสุขกับการนอนหลับอย่างช้าๆในปริมาณค่อนข้างมาก นี่คือการนอนหลับลึกและการบูรณะที่เรียกว่าการนอนหลับ REM (Rapid Eye Movement) เมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่การนอนหลับ REM ของเราเริ่มลดลงและในขณะที่ผู้ใหญ่ผู้สูงอายุการนอนหลับ REM HUC99ของเราเกิดขึ้นน้อยลงและในช่วงเวลาสั้นลงในแต่ละครั้งส่งผลให้การนอนหลับที่เบาและกระจัดกระจายยิ่งขึ้น

ไม่ว่าคุณจะปรับตัวเข้าสู่วัยเกษียณงานใหม่กำลังเผชิญกับรังที่ว่างเปล่าหรือประสบกับความตายของคนที่คุณรักการเปลี่ยนผ่านเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อนิสัยการนอนของคุณอย่างมาก ในกลุ่มอายุใด ๆ แต่อาจมากกว่าเมื่อเราโตขึ้นสมองที่ยุ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ใหญ่ที่สุดที่มีผลต่อการนอนหลับ

สร้างพิธีกรรมการนอนหลับที่ส่งเสริมการแยกเวลากลางวันและกลางคืนและช่วยให้คุณปลดปล่อยอารมณ์ที่ถูกคุมขังอยู่ตลอดเวลา อาจเป็นการอาบน้ำร้อนนานฝึกเทคนิคการหายใจลึก ๆ หรือทำตัวเหยียดยาว สิ่งที่คุณเลือกเป้าหมายคือการทำสิ่งที่ทำให้ผ่อนคลายโดยสงบจิตใจของคุณและดูแลตัวเอง

ได้เวลารีเซ็ตแล้ว ถึงเวลาผ่อนคลาย ได้เวลาดูแลตัวเองแล้ว อ่านต่อเพื่อหาเคล็ดลับและกลเม็ดเก้าข้อสำหรับการสร้างความสงบไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของคุณ

เพราะเราทุกคนสมควรได้รับ Silent Night ในตอนนี้และอีกครั้งฉันถูกไหม คำอุทานสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า

1. หายใจเข้าลึก ๆ
หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดในการเชื่อมต่อกับตัวเองอีกครั้งและตั้งศูนย์อีกครั้งคือการได้รับและเพียงแค่หายใจ การจดจ่อกับลมหายใจจะช่วยให้คุณส่งออกซิเจนไปยังสมองได้มากขึ้นทำให้คุณคิดได้ชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถช่วยให้คุณสงบลงเพราะเรามักจะลืมหายใจลึก ๆ เมื่อเราเครียด การหายใจลึกลงไปทำงานด้วยสติและการทำสมาธิแม้กระทั่งเชื่อมโยงกับความเป็นอยู่ทางจิตวิทยาและผลบวกอื่น ๆ

ฉันไม่รู้เกี่ยวกับคุณ แต่เมื่อใดก็ตามที่ฉันรู้สึกเครียดการเชื่อมต่อกับลมหายใจของฉันจะช่วยให้ฉันหยุดความคิดที่ไม่มีที่สิ้นสุดและดึงทุกสิ่งกลับไปสู่สิ่งจำเป็นที่เปลือยเปล่า - ในที่สุดช่วยให้ฉันฟื้นความสงบ

เป็นสิ่งที่น่าแปลกใจจริงๆว่าอากาศเล็ก ๆ

2. แอบในการออกกำลังกาย
ต้องการที่จะออกมา? ขับเหงื่อ!

ไม่น่าแปลกใจเลยที่การเข้ายิมเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการปลดปล่อยไอน้ำออกมา ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งบนลู่วิ่งปีนเขา Stairmaster หรือยกน้ำหนักบางส่วนออกกำลังกายปล่อยเอ็นโดรฟินกระตุ้นอารมณ์และสามารถเริ่มต้นการไหลเวียนของเลือดส่งสารอาหารที่จำเป็นไปทั่วร่างกาย

หากคุณได้ยินคนพูดว่าเป็นการดีสำหรับสุขภาพทางอารมณ์ของเราที่จะพูดคุยกับคนอื่น ๆ ฉันเห็นด้วยกับการพนัน Colled แต่แง่มุมของการพูดคุยและการเข้าสังคมเป็นสิ่งสำคัญ เราสื่อสารกับผู้คนบ่อยแค่ไหน? แล้วเราจะพูดคุยกับคนอื่นอย่างไร? การศึกษาล่าสุดตรวจสอบคำถามเหล่านี้

ขั้นแรกทีมวิจัยมองที่ a) ความถี่ในการพูดคุยของผู้คนและ b) คุณลักษณะเฉพาะในการสนทนาคือจำนวนคนที่ชอบและคุ้นเคยกับคนที่พวกเขาคุยด้วยเท่าไหร่ที่ผู้คนเปิดเผยตัวเองและบทสนทนาที่มีความหมาย . จากนั้นทีมสำรวจว่าองค์ประกอบเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสุขภาพทางอารมณ์อย่างไรซึ่งพวกเขานิยามว่าเป็นความพึงพอใจส่วนตัวและความรู้สึกผูกพันกับผู้อื่น นักวิจัยไม่เพียง แต่ขอให้ผู้คนในการศึกษาของพวกเขาบันทึกการสนทนาของพวกเขาตลอดทั้งวันพวกเขายังบันทึกการสนทนาของผู้คนเพื่อให้พวกเขาสามารถตรวจสอบพวกเขาอย่างเป็นกลาง ทำไมสิ่งนี้ถึงมีประโยชน์ การแสดงผลและความทรงจำของเราสามารถลำเอียง ตัวอย่างเช่นคุณเคยมีการสนทนากับใครบางคนและค้นพบในภายหลังว่าการที่คุณทำมันแตกต่างจากพวกเขาหรือไม่? บางทีคุณรู้สึกว่าคุณพยายามที่จะปล้องตัวเองหรือคุณคิดว่าคุณน่าเบื่อ แต่อีกคนที่ชอบอยู่กับคุณ หากสิ่งนี้เกิดขึ้นกับคุณคุณไม่ต้องการให้ฉันบอกคุณว่าเรากำลังตัดสินผู้ไม่สมบูรณ์เมื่อมาถึงชีวิตสังคมของเรา

ดังนั้นการสื่อสารของคุณเชื่อมโยงกับสุขภาพทางอารมณ์ของคุณอย่างไร? ปรากฎว่าขอบเขตที่คุณพูดคุยกับผู้อื่นและวิธีที่คุณพูดคุยกับพวกเขาทั้งสองเรื่อง หากเราซูมเข้าและดูเวลาที่เจาะจงภายในวันที่กำหนดในช่วงเวลาที่ผู้คนพูดคุยกับคนอื่นมากขึ้นแบ่งปันเกี่ยวกับตัวเองมากขึ้นและสนทนากับคนที่พวกเขาชอบและคุ้นเคยกับพวกเขาพวกเขาก็รู้สึกดีและผูกพันทางสังคมมากขึ้น ไม่เพียงแค่นั้นพวกเขารู้สึกถึงความผูกพันทางสังคมที่มากขึ้นระหว่างการสนทนาที่ลึกซึ้งและมีความหมายมากขึ้น และถ้าเราย่อให้กว้างกว่าช่วงเวลาพิเศษในหนึ่งวันและพิจารณาว่าชีวิตทางสังคมของบุคคลนั้นเกี่ยวข้องกับสุขภาพโดยรวมของพวกเขาอย่างไร คนที่มักใช้เวลากับการมีส่วนร่วมกับคนอื่นก็มักจะรู้สึกว่ามีจังหวะที่ดีกว่าและเชื่อมโยงกับโลกสังคมของพวกเขา

นี่หมายความว่าเวลาคนเดียวไม่เป็นประโยชน์หรือ ไม่แน่นอน การสละเวลาเพื่อเติมพลังหรือมีส่วนร่วมในการไตร่ตรองอย่างเงียบ ๆ HUC99(หรือทั้งสองอย่าง) อาจคุ้มค่าอย่างมาก สิ่งที่การศึกษานี้ให้ความกระจ่างคือเวลาที่เราเชื่อมโยงกับผู้อื่นและวิธีการที่เราทำนั้นเกี่ยวข้องกับสุขภาพของเราทำให้พวกเขาสมควรได้รับความสนใจและพลังงานเมื่อเราดำเนินชีวิตประจำวัน สิ่งนี้อาจมีลักษณะอย่างไร อาจหมายถึงการใช้เวลาในแต่ละวันในการหยุดและพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานที่คุณชอบแทนที่จะเดินไปที่โต๊ะทำงานเงียบ ๆ พูดคุยกับคู่ของคุณมากกว่าดูทีวีหรือโทรหาเพื่อน หรืออาจเกี่ยวข้องกับการหยุดชั่วคราวระหว่างการสนทนาเพื่อให้ตระหนักถึงความรู้สึกของการอภิปรายที่มีความหมายหรือเป็นการส่วนตัวและจากนั้นทำตามขั้นตอนอย่างแข็งขันเพื่อย้ายการสนทนาในทิศทางที่แท้จริงและมีน้ำใจมากขึ้น มีคำตอบที่ถูกต้องหลายคำ ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจอะไรก็ตามสังเกตว่ารู้สึกอย่างไรและปล่อยให้ประสบการณ์พูดด้วยตนเอง

บอกตัวเองให้หยุดกังวลเมื่อคุณรู้สึกกังวลเหมือนการบอกตัวเองให้หลับเมื่อคุณมีอาการนอนไม่หลับ - มันไม่ทำงาน แล้วอะไรล่ะ ต่อไปนี้เป็นสิ่งที่คุณควรคำนึงถึงห้าประการเมื่อคุณต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่มืดมน

1. สิ่งที่คุณรู้สึกเป็นจริง
เมื่อฉันมีความวิตกกังวลเป็นครั้งแรกในที่ทำงานฉันรอจนกระทั่งฉันป่วยทางร่างกายเพื่อขอกลับบ้าน ฉันคิดว่าสำหรับฉันมันไม่ได้รู้สึกเหมือนมีอาการทางจิตที่เห็นได้ชัดอย่างมีนัยสำคัญหรือเป็นของจริงทางกายภาพ อาการทางกายภาพเท่านั้นที่สามารถตรวจสอบปัญหาของฉันและทำให้ฉันรู้สึกผิดน้อยลงและเขินอายที่ยอมรับว่าฉันต้องการความช่วยเหลือบางรูปแบบ

การคิดว่าปัญหาสุขภาพจิตนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริงเท่าที่ควร ในปีนี้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหลายล้านคนถาม Google ว่าอาการป่วยทางจิตเป็นเรื่องจริงหรือไม่และอินเทอร์เน็ตมีแคมเปญการรับรู้สาธารณะจากรัฐบาลและองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรที่ตอบโต้ด้วยการตอบรับอย่างล้นหลามว่า "ใช่!"

"โรควิตกกังวลเป็นจริงเงื่อนไขทางการแพทย์ที่ร้ายแรง - เช่นเดียวกับของจริงและร้ายแรงเช่นโรคทางกายเช่นโรคหัวใจหรือโรคเบาหวาน" ADAA เขียน

ไม่เพียงแค่นั้น แต่ "โรควิตกกังวลเป็นความผิดปกติทางจิตที่พบบ่อยที่สุดและแพร่หลายในสหรัฐอเมริกา" ในความเป็นจริงสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) รายงานว่าชาวอเมริกันจำนวนมากถึง 1 ใน 5 คนได้รับผลกระทบจากความวิตกกังวล

เมื่อฉันมีการโจมตีความวิตกกังวลความกังวลหลักของฉันคือว่านายจ้างของฉันจะคิดว่าฉันพยายามที่จะหลบเลี่ยงหน้าที่ของฉัน ถ้าคุณรู้สึกเหมือนกันข่าวดีก็คือคุณไม่ได้อยู่คนเดียว ในความเป็นจริงการสำรวจเมื่อเร็ว ๆ นี้เกี่ยวกับความเครียดในที่ทำงานและรายงานความวิตกกังวลว่าร้อยละ 38 ของผู้ที่มีปัญหาด้านความวิตกกังวลไม่ได้บอกนายจ้างเพราะพวกเขากลัวว่า "หัวหน้าของพวกเขาจะตีความว่ามันเป็นเพราะขาดความสนใจ

เมื่อคุณอยู่ในที่ทำงานสถานที่ที่คุณคาดหวังว่าจะได้แสดงและอยู่ในระดับที่ดีที่สุดของคุณอาจเป็นการยากที่จะยอมรับช่องโหว่และลดความหย่อนคล้อยลง แต่พยายามที่จะจำความวิตกกังวลของคุณเป็นจริงเช่นเดียวกับไมเกรนที่เจ็บปวดที่สุดหรือปวดท้องที่แย่มากและคุณควรที่จะดูแลตัวเองเช่นเดียวกับที่คุณมีหากคุณมีสภาพร่างกาย

2. นายจ้างของคุณจะไม่ยิงคุณ

วิธีกระตุ้นตัวเอง

ความกระตือรือร้นของอาคาร

เตือนตัวเองว่าทำไมคุณถึงอยากทำอะไรสักอย่าง บางครั้งเราต้องการการสนับสนุนเล็กน้อยเพื่อช่วยให้เราทำงานหรือทำโครงการได้ พูดออกมาดัง ๆ หรือจดบันทึกสาเหตุที่คุณต้องทำอะไรสักอย่าง บอกตัวเองถึงประโยชน์ของการทำให้เสร็จ ตัวอย่างเช่นคุณอาจพูดว่า“ ฉันกำลังจะไปวิ่งตอนนี้เพราะฉันอยากที่จะฟิต” หรือ“ ฉันต้องทำการบ้านนี้เพื่อที่ฉันจะได้ก. "

เตือนตัวเองถึงอันตรายจากการผัดวันประกันพรุ่ง สัญญากับตัวเองว่า“ ถ้าฉันทำสิ่งนี้เสร็จฉันสามารถออกจากงานก่อนวันนี้ได้” หรือ“ ถ้าฉันสามารถทำให้สำเร็จได้ฉันจะทำงานกับสิ่งที่สนุกกว่านี้ได้”
สร้างบอร์ดวิสัยทัศน์พร้อมภาพที่แสดงถึงสิ่งที่คุณต้องการทำให้สำเร็จในชีวิตของคุณ มันจะช่วยเตือนสิ่งที่คุณสนใจ
ทำให้กิจกรรมของคุณสนุก

หากคุณกลัวงานหรือกิจกรรมอาจเป็นการยากที่จะเริ่มต้น ในกรณีนี้ค้นหาวิธีที่จะทำให้งานน่าตื่นเต้นยิ่งขึ้น คุณอาจรวมถึงคนอื่นหรือท้าทายตัวเองในรูปแบบใหม่ การผสมสิ่งต่าง ๆ เข้าด้วยกันสามารถช่วยให้คุณทำสิ่งต่างๆได้สำเร็จ

ตัวอย่างเช่นถ้าคุณต้องการที่จะฟิต แต่เกลียดการไปยิมให้เข้าคลาสออกกำลังกายเช่นคิกบ็อกซิ่งซุมบ้าหรือแบร์
หากคุณกำลังศึกษาเพื่อทำการสอบพร้อมกับเพื่อน ดูว่าใครสามารถตอบคำถามได้อย่างถูกต้องมากที่สุดหรือแก้ปัญหาได้เร็วที่สุด

ไข่ต่อวันสามารถช่วยให้แพทย์ออกไป ไข่ยังคงเป็นหนึ่งในแหล่งโปรตีนที่ดีที่สุดและถูกที่สุด ไข่ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระแคลเซียมวิตามินและกรดอะมิโนที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน
ระบบภูมิคุ้มกันได้รับประโยชน์อย่างมากจากการบริโภคไข่เนื่องจากมันเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันและช่วยต่อสู้กับโรคไวรัสและการติดเชื้อ ไข่ยังช่วยควบคุม thyroxin เนื่องจากมีปริมาณ ium ของการบริโภคซีลีเนียมในแต่ละวันที่แนะนำ

คอเลสเตอรอลที่ดี (HDL)
ไข่มีคอเลสเตอรอลประมาณ 212 มิลลิกรัมซึ่งอยู่ในหมวดหมู่ HDL นั่นคือประเภทคอเลสเตอรอลที่ดีซึ่งช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีซึ่งก็คือ LDL ความคิดโบราณคือไข่เป็นสิ่งที่ไม่ดีสำหรับคนที่ทุกข์ทรมานจากคอเลสเตอรอล แต่ที่สำคัญคือไข่มี HDL ซึ่งช่วยลดและควบคุม LDL ดังนั้นไข่จึงเป็นอาหารเสริมที่ดีสำหรับมื้อเช้าของคุณ

สุขภาพหัวใจ
นักวิทยาศาสตร์ได้พบกับการวิจัยเพิ่มเติมว่ามีคอเลสเตอรอลชนิดต่าง ๆ ที่ไม่ดี สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับขนาดของอนุภาคภายในคอเลสเตอรอล LDL ยิ่งอนุภาคมีขนาดใหญ่เท่าไรการคุกคามของปัญหาหลอดเลือดและหัวใจก็น้อยลง ส่วนที่ดีที่สุดคือ LDL ในไข่จะเปลี่ยนจากอนุภาคขนาดเล็กเป็นอนุภาคใหญ่ ไข่ไม่เพียง แต่มี HDL แต่ยังแก้ไข LDL ในร่างกายของคุณเพื่อให้มีประโยชน์มากขึ้นและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ

เพิ่มพลังงาน

เมื่อความหิวเข้ามาฉันไม่ไว้ใจตัวเองในการตัดสินใจเลือกรองเท้าคู่ไหนกับชุดของฉัน - น้อยกว่าการตัดสินใจเปลี่ยนชีวิต วิสัยทัศน์ของการเต้น alt - พาสต้าในหัวของฉันทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก และตามที่ Uma Naidoo, MD, ผู้อำนวยการด้านโภชนาการและจิตเวชไลฟ์สไตล์ที่ Massachusetts General Hospital, วิทยาศาสตร์หลังการกรอกท้องของคุณก่อนที่จะเข้าร่วมกับคนอื่น ๆ ที่สำคัญของคุณตายผมสีม่วงของคุณหรือรับงานใหม่

“ การวิจัยสนับสนุนไม่ตัดสินใจในขณะท้องว่าง” ดร. Naidoo อธิบาย “ Ghrelin เป็นฮอร์โมนที่ผลิตในระบบทางเดินอาหารที่มีผลต่อสมอง ปล่อยเมื่อท้องว่าง ในคนที่มีสุขภาพดีเมื่อคุณกินการกระทำของฮอร์โมนนี้จะหยุดลง” จนถึงตอนนี้งานวิจัยเกี่ยวกับการปรากฏตัวของ ghrelin ส่งผลต่อความสามารถในการมีเหตุผลของคุณส่วนใหญ่ได้รับการดำเนินการกับสัตว์หรือขนาดของมนุษย์ขนาดเล็กมาก ดร. Naidoo กล่าวว่าผลลัพธ์ยังน่าสังเกต

เมื่อเร็ว ๆ นี้การศึกษาขนาดเล็กที่มี 50 วิชาที่ดำเนินการโดย Benjamin Vincent, DPhil จากภาควิชาจิตวิทยาของมหาวิทยาลัย Dundee พบว่าความหิวทำให้ขว้างประแจในกระบวนการตัดสินใจของผู้เข้าร่วม “ ความหิวทำให้พวกเขาใจร้อนและมีแนวโน้มที่จะตัดสินรับรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ toppplayที่มาถึงเร็วกว่ารางวัลใหญ่ที่สัญญาไว้ในภายหลัง” ดร. Naidoo กล่าว “ เพียงแค่พูดสิ่งที่การวิจัยปรากฏเพื่อแสดงให้เราเห็นคือเราดูเหมือนจะทำให้ตัวเลือกที่ไม่ระมัดระวังมากขึ้นเมื่อเราหิว

ยังมีอีกปัจจัยที่ต้องพิจารณาคือสิ่งที่สมองว่างเปล่าทำกับสมองของคุณซึ่งสร้างกลูโคส (ระดับน้ำตาลในเลือด) “ สมองต้องการน้ำตาลกลูโคสประมาณ 62 กรัมในระยะเวลา 24 ชั่วโมง นี่หมายถึงกลูโคสจริงไม่ใช่น้ำตาลในรูปแบบอื่น ความคมชัดของจิตใจของเรานั้นขึ้นอยู่กับสมองที่ได้รับอาหารสมองเพียงพอ ดังนั้นเมื่อเรากินสมองของเราก็จะได้รับอาหารด้วย” ดร. Naidoo กล่าว ดังนั้นในกรณีที่คุณกำลังติดตามนั่นหมายความว่าคุณต้องให้อาหารทั้งท้องและสมองก่อนตัดสินใจ

มีเมนูอะไร Dr. Naidoo แนะนำให้กลับไปสู่พื้นฐาน “ วิธีง่ายๆที่จะนำไปสู่การดำเนินชีวิตที่มีสุขภาพดีคือการรักษาสมดุลของอาหารที่คุณกินโดยเน้นที่อาหารทั้งหมด - เช่นกินส้มแทนที่จะซื้อน้ำผลไม้ - หรือกินผักใบเขียวสัตว์ปีกลีนพืชตระกูลถั่วถั่ว ไขมันที่ดีต่อสุขภาพและอาหารทะเลที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 เพื่อช่วยให้สมองของคุณพร้อม” เธอกล่าว ลองดูสิ - แล้วตัดสินใจว่าคุณต้องการรับทุกอย่างจริงๆและย้ายไปยังเมืองอื่นหรือไม่

ในขณะที่ความยุ่งเหยิงอาจเป็นปัญหาสำหรับทุกคน แต่มันก็เป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่กว่าสำหรับคนอย่างฉันที่บ้านหรืออพาร์ตเมนต์เล็กกว่า ดังนั้นเมื่อ Pop Up Grocer ร้านขายของชำแบบป็อปอัพที่เป็นเจ้าภาพจัดงานในหัวข้อสุขภาพที่มีสุขภาพดีเชิญฉันมาแชทกับ Beatrice Copeland ผู้จัดงานมืออาชีพ ฉันเดินออกไปพร้อมกับ Microsteps ที่สามารถดำเนินการได้ไม่กี่คนที่สามารถใช้เพื่อแยกพื้นที่ของพวกเขาและในทางกลับกันจิตใจของพวกเขา

นำนโยบายที่ไม่มีข้อ จำกัด มาใช้

วันนี้เป็นเรื่องง่ายที่จะสะสมสิ่งของฟรีจำนวนมาก และถุงหิ้วเสื้อยืดขวดน้ำและของเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ - แม้ว่าพวกเขาจะคิดว่าเป็นความคิดที่ดีที่จะนำกลับบ้านเวลา - เพิ่มความยุ่งเหยิงที่ไม่จำเป็นในพื้นที่ของเรา Copeland กล่าว บ่อยครั้งที่ของฟรีที่เรารวบรวมได้นั้นไม่มีประโยชน์หรือเป็นประโยชน์ดังนั้นเพียงแค่เริ่มบอกว่าไม่รับของขวัญฟรี

วางสิ่งหนึ่งออกไปทุกคืน

ก่อนที่คุณจะเข้านอนในตอนเย็นใช้สิ่งหนึ่งที่อยู่นอกสถานที่ของคุณและให้บ้านถาวร Copeland แนะนำ และใช่: มันก็โอเคถ้าบ้านใหม่ของมันคือถังขยะหรือถังขยะรีไซเคิล

ใช้วิธีการออกจากมือ

หลายคนยึดติดกับวัตถุนานเกินไปเพราะพวกเขาได้แนบคุณค่าทางอารมณ์ไว้กับพวกเขาและการเชื่อมต่อนี้สามารถเพิ่มมากขึ้นเมื่อจับสิ่งต่างๆไว้ในมือของเรา เมื่อคุณทำความสะอาดตู้เสื้อผ้าหรือชุดลิ้นชักลองโทรหาเพื่อนเพื่อขอความช่วยเหลือ “ มีคนอื่นจับกางเกงขายาวสีดำคู่หนึ่งแล้วพูดว่า 'คุณต้องการสิ่งนี้หรือไม่?'” โจเซฟเฟอร์รารี, Ph.D. ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยเดลพอลที่ศึกษาสาเหตุของความยุ่งเหยิงและผลกระทบที่มีต่ออารมณ์ กำลังแนะนำให้เดอะนิวยอร์กไทม์ส “ เมื่อคุณสัมผัสรายการคุณมีโอกาสน้อยที่จะกำจัดมัน”

ทำให้การจัดลำดับความสำคัญลดลง

แน่นอน Copeland ตั้งข้อสังเกตส่วนหนึ่งของการจัดระเบียบก็ลงมาเพื่อมุ่งมั่นอยู่ หากคุณต้องการให้พื้นที่ของคุณรกน้อยลงให้ลองกำหนดตารางการทำความสะอาดในปฏิทินของคุณแบบเดียวกับที่คุณนัดหมายแพทย์หรือชั้นเรียนออกกำลังกาย และเมื่อคุณคิดถึงชั่วโมงทั้งหมดที่คุณสูญเสียไปเพื่อค้นหารายการที่วางผิดที่การลงทุนครั้งนี้จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาในระยะยาว

ทุกคนรู้สึกผูกพันกับผู้คนสิ่งต่าง ๆ หรือสถานที่ ท้ายที่สุดถ้าคุณมีสิ่งที่ดีในชีวิตของคุณมันทำให้รู้สึกว่าคุณอาจรู้สึกต่อต้านการสูญเสียบุคคลหรือสิ่งนั้น อย่างไรก็ตามสิ่งที่แนบมาทางอารมณ์มากเกินไปจะไม่แข็งแรงเมื่อมันเริ่มที่จะทำลายชีวิตของคุณ

ในกรณีของความสัมพันธ์สิ่งที่แนบมาทางอารมณ์ที่ไม่แข็งแรงสามารถรบกวนชีวิตคู่ของคุณได้เช่นกัน เส้นแบ่งระหว่างสิ่งที่แนบที่ดีต่อสุขภาพและไม่แข็งแรงอาจเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจอย่างไรก็ตามโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณไม่มีแบบอย่างสำหรับความสัมพันธ์ที่ดีต่อสุขภาพ หากคุณเคยมีความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมมาก่อนอาจเป็นเรื่องยากที่จะปรับตัวให้เข้ากับสมดุลปกติกับคู่ของคุณ

อารมณ์ที่แนบมาสามารถนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ยาวนานและน่าทึ่งกับคู่ของคุณ หากคุณรู้สึกว่ามีอารมณ์ผูกพันกับวัตถุเช่นของเล่นในวัยเด็กมันอาจทำให้คุณรู้สึกสงบหลังจากวันที่เครียด อย่างไรก็ตามถ้าคุณรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างหรือแรงเกินไปมันอาจกลายเป็นความหลงใหลที่เป็นอันตราย

สัญญาณเตือนของสิ่งที่แนบทางอารมณ์ที่ไม่แข็งแรง
เป็นเรื่องปกติที่จะรักและต้องการคู่ของคุณหรือสิ่งของ อย่างไรก็ตามพฤติกรรมรุนแรงและครอบงำสามารถนำไปสู่การสลายและพฤติกรรมล่วงล้ำในชีวิตประจำวันของคุณ นี่คือพฤติกรรมและรูปแบบทั่วไปบางอย่างที่บ่งบอกว่าคุณกำลังพัฒนาสิ่งที่แนบที่เป็นพิษ

ความรู้สึกของคุณขึ้นอยู่กับสถานะและความสนใจของพวกเขา
ความสัมพันธ์ใด ๆ มีการพึ่งพาซึ่งกันและกันจำนวนหนึ่ง - คุณสนุกกับการใช้เวลากับพวกเขาและคุณรู้สึกดีเมื่อพวกเขาอยู่ใกล้ การพึ่งพาซึ่งกันและกันของความสัมพันธ์กลายเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อสุขภาพอย่างไรก็ตามเมื่อคุณไม่รู้สึก“ สมหวัง” นอกเสียจากว่าพวกเขาจะอยู่ใกล้

ในความสัมพันธ์ที่ดีต่อสุขภาพคุณจะสนุกกับคู่ของคุณ แต่คุณก็สนุกด้วยตัวเอง ในการพึ่งพาตัวเองที่ไม่ดีต่อสุขภาพคุณไม่สามารถสนุกกับการทำสิ่งต่าง ๆ ได้และรู้สึกดีใจน้อยลง เป็นผลให้คุณเริ่มที่จะยึดติดกับคู่ของคุณและขอเวลามากขึ้นด้วยกัน - ด้วยวิธีนี้คุณใช้เวลาน้อยลงรู้สึกว่างเปล่าด้วยตัวเอง

A running nose or rhinorrhea is a condition where the nasal cavity is filled with a significant amount of mucus fluid.Running nose is mostly caused by common cold and influenza. Other causes of running nose include allergies and hay fever.

What you can do to stop a running nose:
Drink lots of fluids:
Staying hydrated has a lot of benefits to your body. According to a study published in Rhinology Journal, hot drinks provided immediate and sustained relief from symptoms of runny nose, cough, sneezing, sore throat, chilliness and tiredness.

This ensures that mucus in your sinuses thins out to a runny consistency and is easy for you to expel. Otherwise, it may be thick and sticky, which congests the nose even further.

And ensure to stay away from coffee and alcoholic beverages – they dehydrate.

Try A Facial Steam:
Steam inhalation is one of the most widely practised homemade remedy for running nose. You can even add herbs or essential oil to the hot water.

Here’s how to run a steam facial.

Young families are leaving themselves in a financially fragile state, academics say, amid reports that people are losing the savings habit.Failure to put money aside exposed them to expensive debts, according to John Ashton, a professor in banking.

A quarter of UK households would turn to credit or ask family and friends for help when faced with an unexpected bill, recent surveys suggest.

Yet low interest rates are undermining any incentive to save.

"We are asking young people to save in an environment where there are no Brownie points for saving," said Janette Rutterford, professor of financial management at The Open University Business School.

Two surveys have revealed the extent to which families have lost the savings habit to cover the cost of unplanned events, such as fixing the car or paying for repairs in the home.

The independent Money Advice Service, as part of its Financial Capability Survey, asked 3,500 people across the UK how they would pay for an unexpected bill of up to £300 within a week.

Although 22% of them would dip into their savings (and 43% could pay with day-to-day cash), some 24% would use high-cost credit, ask for family help, or face problems.

Breaking this down reveals:

6% of all respondents would use a credit card, loan or overdraft

Accidentally dropping a smartphone in water is almost an inevitable experience; it has happened to the best of us.Often times, we frantically try anything and everything to recover it, all to no avail. But, these instant tips below can be helpful:

Take it out of Water Quickly
Take out the phone from the water as soon as the incident occurs. Some smartphones have a waterproof coating that can resist damage for a few seconds in water. If you have one of these phones, you might actually have no water damage at all if you fish out the phone in due time.

Switch off and Dismantle
Since chances are that your phone was powered on when you dropped it in water, it is advisable to switch it off immediately after taking it out. It will prevent any short circuits from damaging the internals of the phone. After switching off the topplay phone, remove everything possible from the phone- battery, SIM cards, memory cards as well as any accessory.

Shake it off
Gently shake the phone to get rid of any water present in the headphone jack, charging port or under the physical buttons. After this, wipe the phone with a dry cloth thoroughly to remove any drops of water still present.

Bury it And Wait
Get an airtight container or a ziplock bag and fill it with uncooked rice or “garri” or oatmeal. Place your phone inside the rice, shut the ziplock bag/container tight and keep it in a dry place. Leave the phone in the rice for at least 24 to 48 hours. Ideally, do not even try to take the phone out to check if it has started working or not. If there wasn’t too much water damage, your phone should start working.

New research examines the link between maternal consumption of fluoridated water and lower IQs in their children.According to recent estimates, 66% of all United States residents receive fluoridated water through their taps. Adding fluoride to drinking water has been a public health practice for decades, with the main purpose of preventing tooth decay and preserving oral health.

However, recently, there have been concerns about the safety of fluoride. Previous observational studies have found an association between exposure to fluoridated drinking water and lower intelligence scores in children.

Furthermore, fluoride can cross the placenta, and it tends to accumulate in brain areas responsible for learning and memory.

So, researchers — many from York University, in Toronto, Canada — have wondered whether a mother's exposure to fluoridated tap water during pregnancy affects her offspring's intelligence scores.

Rivka Green, from York University's Faculty of Health, is the lead author of the new study, which appears in the journal JAMA Pediatrics.

The possible effects of fluoride in water
Green and colleagues explain the motivation for their research, saying that while previous observational studies have found a link between drinking fluoridated water and reduced child IQ scores, these studies did not assess "exposure during fetal brain development."

So, the current study included 601 pairs of mothers and their children, who resided in six cities across Canada. The children were aged 3–4 years, and 41% of the mother-child pairs lived in communities with fluoridated tap water.

The researchers used two measures of fluoride exposure during pregnancy: They used data on "maternal urinary fluoride (MUF) concentrations" as well as self-reported intake of tap water and other drinks containing water, such as tea and coffee.

It might surprise you to learn that biological stress is a fairly recent discovery. It wasn't until the late 1950s that endocrinologist Hans Selye first identified and documented stress.Symptoms of stress existed long before Selye, but his discoveries led to new research that has helped millions cope with stress. We’ve compiled a list of the top 5 ways to relieve stress.

Listen to music
If you're feeling overwhelmed by a stressful situation, try taking a break and listening to relaxing topplay music. Playing calm music has a positive effect on the brain and body, can lower blood pressure, and reduce cortisol, a hormone linked to stress.We recommend cello master Yo-Yo Ma playing Bach, but if classical really isn’t your thing, try listening to ocean or nature sounds. It may sound cheesy, but they have similar relaxing effects to music.

Talk it out with a friend
When you’re feeling stressed, take a break to call a friend and talk about your problems. Good relationships with friends and loved ones are important to any healthy lifestyle.They’re especially important when you're under a lot of stress. A reassuring voice, even for a minute, can put everything in perspective.

Talk yourself through it
Sometimes calling a friend is not an option. If this is the case, talking calmly to yourself can be the next best thing.Don’t worry about seeming crazy — just tell yourself why you're stressed out, what you have to do to complete the task at hand, and most importantly, that everything will be okay.

Eat right
Stress levels and a proper diet are closely related. When we’re overwhelmed, we often forget to eat well and resort to using sugary, fatty snack foods as a pick-me-up.Try to avoid sugary snacks and plan ahead. Fruits and vegetables are always good, and fish with high levels of omega-3 fatty acids have been shown to reduce the symptoms of stress. A tuna sandwich really is brain food.

There are many reasons as to why people have difficulty sleeping. From a woman having her first child, menopause, to work, relationship or societal issues that keep the mind spinning at night.Though often people are prescribed pharmaceutical sleep aids to handle insomnia, research suggests that these may not work well in the long run. Here are some of the tips that can help with sleep.

Track your sleep
The first step is to figure out how much sleep you are getting and when. Tracking your sleep helps you to figure out what the problem is and have a realistic picture of the problem. It also means that when you try out various changes, because you already know how much sleep you get, you are able to understand if you are getting enough sleep.

Eliminate “sleep stealers”
Avoid things that prevent you from sleeping like alcohol, nicotine, and heavy meals within three hours of your bedtime. Keep your bedroom quiet, dark, and cool. Don't exercise or take a warm bath right before bed. Don't drink caffeine after 2 p.m. Wind down before bed. Don't nap to make up for lost sleep. Always set a morning alarm to get up at the same time every day. Don't look at the blue light of screens for at least one to two hours before going to bed

Learn to “love your bed”
Your body should be trained to love your bed and associate it as a space for sleeping. That means going to bed at bedtime and getting right out of bed when your alarm goes off, too. If you occasionally break the stimulus control topplay rules, you're giving a confusing signal to your brain and body.”

Spend less time in bed
This may sound totally counterintuitive, but if you have insomnia, it's often better to restrict your sleep than to let yourself sleep whenever you’re tired. The reason this works is that it builds up your body's sleep drive, which ultimately makes it easier for you to fall asleep and sleep well when bedtime arrives.